สวัสดีครับ ขออภัยที่หายไปหลายวันเนื่องจากงานเข้าหนักมากเลยไม่มีเวลามาเขียนบทความให้อ่านกัน วันนี้ไม่ได้มากับรีวิวแต่จะเอาวิธีอ่านสเปคลำโพงกันแบบง่ายๆระดับเบื้องต้น เอาแค่รู้ว่าค่าแต่ละอย่างคืออะไร Power, Sensitivity, Impedance เดี๋ยววันนี้จะมาอธิบายให้ฟังกันเป็นภาษาชาวบ้านที่เราพูดๆกันดีกว่า เพราะถ้าให้ร่ายยาวภาษาวิชาการผมว่าจะพาให้ไม่เข้าใจกันไปอีกเนอะ
ลำโพงตัวที่ผมหยิบมาเป็นตัวอย่างวันนี้ ไม่ใช่ลำโพงใหม่หน้าไหนแต่เป็นลำโพงเล็กๆที่หลายคนคงเคยได้เห็นได้ลองฟังกันมาพอสมควรแล้วนั่นก็คือเข้า NHT Absolute Zero ตัวนี้นี่เอง หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมผมถึงเลือกลำโพงตัวนี้มาเป็นตัวอย่าง เพราะเจ้าลำโพงตัวนี้มีความพิเศษไม่เหมือนชาวบ้านอยู่นี่เองครับ
System type
Bookshelf Speaker
Configuration
2-way, acoustic suspension design
Woofer - 1 x 5.25” polypropylene woofers
Tweeter – 1x 1” aluminum dome tweeter
Cabinet Material
25 mm MDF baffle, all other panels and internal braces 12 mm
Finish
High Gloss Black/White
Power Handling
100W
Frequency Response
71Hz-20kHz
Crossover Frequency
--, 3 kHz
Sensitivity
86dB
Impedance
6 Ohms
1. System type
Bookshelf Speaker
เริ่มที่ตัวแรกอันนี้ง่ายๆเลย ก็คือลำโพงตัวนี้เป็นลำโพงประเภท ลำโพงวางหิ้ง ในประเภทอื่นๆก็จะเป็น Floor Standing (ลำโพงตั้งพื้น) หรือ Center Channel (ลำโพงเซ็นเตอร์) นั่นเองครับ
2. Configuration
2-way, acoustic suspension design
Woofer - 1 x 5.25” polypropylene woofers
Tweeter – 1x 1” aluminum dome tweeter
ถัดมาคือลำโพงตัวนี้มีดอกลำโพงสองดอกคือ
1. ดอก Woofer ขนาด 5.25 นิ้วกรวยลำโพงทำจากวัสดุประเภท polopropylene หรือที่เราเรียกกันว่าพลาสติก pp นั่นเองครับ
2. ดอก Tweeter ขนาด 1 นิ้ว กรวยลำโพงทำจากวัสดุประเภท อลูมินั่ม
3. Cabinet Material
25 mm MDF baffle, all other panels and internal braces 12 mm
ตัวตู้ลำโพงทำจากไม้ MDF ขนาด 25 มม. ส่วน Panel ชิ้นส่วนข้างในมีความหนา 12 มม. (ส่วนมากลำโพงไม่ค่อยมีใครทำจากไม้จริงนะครับ เพราะว่าเนื้อมันยืดหดไม่เท่ากัน ทำให้เสียงสองข้างไม่เท่ากันครับ)
4. Finish
High Gloss Black/White
วัสดุปิดผิวตู้ลำโพง ลำโพง NHT Abosolute Zero นี้ใช้วิธีทำสี High Gloss ถ้าเป็นลำโพงทั่วๆไปสีไม้ที่เราเห็นก็จะเป็น Veneer แปะผิว
5. Power Handling
100W
มาถึงตัวสำคัญที่หลายคนสงสัยว่าทำไมลำโพงมีเขียนวัตต์ไว้ข้างหลังลำโพงด้วย (อ่านถึงตรงนี้แล้วเดินไปดูลำโพงตัวเองเลยครับ) เจ้าตัวเลขตัวนี้คือ กำลังที่เหมาะสมในการขับลำโพงตัวนี้ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง จุดนี้มีคำถามว่า "แอมป์ผม 100 วัตต์ ลำโพงตัวนี้ Power Handling 100 วัตต์ ขับได้มั้ย" มาดูคำตอบแบบง่ายๆกันครับ อ่านให้เข้าใจทีเดียวจำได้ตลอดชีวิตครับไม่ต้องท่อง
ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับรถยนต์ โดยให้กำลังขับของแอมป์เป็นความเร็วสูงสุดที่รถยนต์วิ่งได้ ส่วน Power Handling ของลำโพงเป็นความเร็วที่ต้องการ
รถยนต์มี Top Speed = 100km/h ถามว่าจะให้รถคันนี้วิ่ง 100km/h ยาวๆแช่นานๆเป็นชั่วโมงได้มั้ยครับ?
คำตอบคือไม่ได้จริงมั้ยครับ จริงอยู่ว่าอาจจะวิ่งขึ้นไปถึง 100 km/h ได้แต่ก็ต้องเค้นกันออกมาสุดๆ กดคันเร่งมิด เข็มวัดรอบลากขึ้นไปเรดไลน์ สิ่งที่ตามมาคือพังครับ แล้วเราควรจะทำยังไงดีล่ะ คำตอบคือเปลี่ยนรถครับ
รถยนต์มี Top Speed = 200km/h ถามว่าจะให้รถคันนี้วิ่ง 100km/h ยาวๆแช่นานๆได้มั้ยครับ?
เห็นภาพเลยใช่ไหครับ แอมป์กับลำโพงก็เช่นกัน แอมป์กำลังขับเพียง 50 วัตต์ก็สามารถขับลำโพง 100 วัตต์ได้ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ประสิทธิภาพที่แท้จริงของลำโพงออกมานั่นเอง เพราะสิ่งที่แอมป์กระทำกับลำโพงนั่นคือการทำให้ลำโพงขยับตามต้องการ ด้วยการฉุดกระชากลากถู สั่นหยุดๆสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว
ก็เปรียบได้ดั่งรถแรงม้าสูง จะกด จะกระชาก จะเบรค มันก็สั่งได้ดั่งใจ แต่ถ้าเป็นรถแรงม้าน้อย เหยีบก็ไม่วิ่ง จะเร่งก็ไม่ไป จะหยุดเบรคก็ไม่ค่อยจะดี ก็เป็นเช่นนี้แหละครับ
คำถามยอดฮิต แอมป์ตัวนี้ขับลำโพงตัวนี้ไหวมั้ย เดินไปดูกำลังขับเทียบกันเลยครับแล้วนึกภาพตามสิ่งที่ผมบรรยายไปเมื่อกี๊ ท่านจะได้คำตอบขึ้นมาอย่างชัดแจ้งเลยทีเดียว
6. Frequency Response
71Hz-20kHz
ค่านี้ก็ง่ายๆไม่มีอะไรครับ บอกว่าลำโพงตัวนี้ตอบสนองความถี่ได้ ต่ำได้ต่ำสุด 71Hz สูงสุดที่ 20 KHz
7. Crossover Frequency
--, 3 kHz
Crossover ก็คือจุดตัดความถี่นั่นเองครับแปลว่า ความถี่ที่ต่ำกว่า 3 kHz จะถูกส่งไปออกลำโพง Woofer ส่วนความถี่ที่สูงกว่า 3 kHz จะถูกส่งออกลำโพง Tweeter
8. Sensitivity
86dB
เป็นคำถามยอดฮิตอีกแล้วค่าความไวของลำโพง และเป็นสิ่งที่อธิบายยากมากๆเสียด้วย เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานกันก่อนเลยครับ
Sensitivity 86dB หมายถึง เมื่อเราจ่ายไฟ 1W ที่ความถี่ 1kHz ให้กับลำโพงดอกนี้ ที่ระยะห่าง 1 เมตร เราจะได้ยินเสียงดัง 86 เดซิเบล
แล้ว 86 dB กับ 89 dB ต่างกันนิดเดียว ขับยากต่างกันแค่ไหน ระดับความดังของเสียงถูกจัดอยู่ใน log scale ดังนั้นขอให้จำไว้ง่ายๆไม่ต้องไปคิดคำนวณให้ปวดหัว ตัวเลขห่างกันเพียงแค่ 3dB ดังต่างกันถึง 2 เท่าตัวเลยทีเดียว
เห็นมั้ยครับเข้า Absolute Zero นี้ เห็นตัวเล็กๆจิ๋วๆแบบนี้ มาพร้อมกับ 100w Power Handling, Sensitivity 86 dB และยังเป็นตู้ปิด บอกได้เลยว่าโหดครับ
9. Impedance
6 Ohms
มาถึงค่าสุดท้าย ค่านี้คือค่า Norminal Impedance โดยปกติลำโพงทั่วไปจะมีความต้านทานรวมที่ 4, 6, 8, 16 โอห์ม ยิ่งความต้านทานน้อย ยิ่งกินกระแสไฟมากเพื่อให้ได้เสียงที่ดังตามต้องการ
เป็นยังไงครับอ่านกันมายาวนานมากวันนี้ ก็ขอให้ทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านได้เก็บไว้เป็นความรู้เพื่อเป็นประโยชน์ในการเลือกซื้อลำโพงหรือแอมป์ให้เหมาะสมกันนะครับ จะได้ไม่เสียดายว่าซื้อแอมป์มาแล้วขับไม่ออก หรือใช้ลำโพงไม่เต็มประสิทธิภาพนั่นเอง วันนี้สวัสดีครับ
Irene Audio
Website: www.ireneaudio.com
Online Store: www.ireneaudio.com/shop
ครบและอ่านง่ายมากค่ะ ถ้าว่างรบกวนขอเรื่องheadphoneที่เหมาะเป็นmonitorหน่อยนะคะ ไม่มีคนแนะนำเลย ขอบคุณมากๆค่ะ
ReplyDeleteกระผมไม่สันทัดเรื่อง Headphone ไม่กล้าเขียนครับ แต่ถ้าเป็นความรู้เรื่องทั่วๆไปอาจจะเขียนได้อยู่ครับ
Deleteขอสอบถามหน่อยครับ เราพอจะมีวิธีเบื้องต้นเพื่อดูกำลังขับของแอมปฺ์ยังไงครับ
ReplyDeleteว่าควรมีกำลังขับมากกว่าPower Handlingของตัวลำโพงเท่าไหร่ถึงเหมาะสมครับ ทั้งตู้ปิดและตู้เปิด ขอบคุณครับ
โดยปกติควรจะมีกำลังขับอย่างน้อย 1.5 เท่าของ power handling ที่เขียนไว้ที่ลำโพงน่ะครับเช่น
Deleteลำโพง power handling 100w Impedance 6 Ohm
แอมป์เราก็ควรจะมีกำลังขับ อย่างน้อย 150w ที่ 6 Ohm โดยประมาณนะครับ
เพราะโดยปกติเราเปิด Volumn กันประมาณซัก 10 นาฬิกา นั่นก็เปรียบเสมือนเราใช้กำลังขับประมาณ 40% ของกำลังขับสูงสุด เพื่อไปขับลำโพง เพียงแต่ว่าเราต้องเผื่อกำลังสูงสุดไว้เพื่อเวลาที่เพลงเรียกใช้ในช่วงสั้นๆแอมป์ก็จะได้สามารถทำตามที่เพลงสั่งได้นั่นเองครับ
ส่วนสเปคกำลังขับของแอมป์ก็เปิดดูจากคู่มือครับ โดยส่วนมากจะเขียนประมาณนี้ครับ ถ้ายังไม่เคลีย Line มาถามได้เลยครับ เลื่อนขึ้นไปนิดนึงจะเจอปุ่ม Add friend
100w - 8 Ohms
140w - 6 Ohms
180w - 4 Ohms
ขอขอบคุณมากๆเลยครับ
ReplyDelete